วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

10 สุดยอดรถยนตร์หรู...แพงที่สุดในโลก!

ลำดับที่ 10. Maybach 57 S 
 
$ 367, 000 (12,845,000 บาท) ไม่รวมภาษี

มาพร้อมกับห้องเก๋งที่หรูหรา และเทคโนโลยีชั้นสูง
 





ลำดับที่ 9. Maybach 62 
 
$ 385, 250 (13,483,750 บาท) ไม่รวมภาษี

เรื่องความหรูหราภายในความสะดวกสบายพร้อมสรรพ
 
 




ลำดับที่ 8. Porsche Carrera GT 
 
$ 440, 000 (15,400,000 บาท) ไม่รวมภาษี

มีการควบคุมการทรงตัวด้วยระบบไดนามิค ทำความเร็วได้สูงสุด 209 ไมล์ต่อชั่วโมง (334.4 ก.ม.ต่อชั่วโมง)
สามารถเร่งความเร็วสูงสุด 0- 60 mph ใน 3.9 วินาที
 
 
 



ลำดับที่ 7. Mercedes- Benz SLR McLaren 
 
$ 457, 250 (16,003,750 บาท) ไม่รวมภาษี

เป็นรถเกียร์ออโตเมติกที่เร็วที่สุดในโลก ด้วยความเร็วสูงสุด 207 ไมล์ต่อชั่วโมง (331.2 ก.ม.ต่อชั่วโมง)
สามารถเร่งความเร็วสูงสุด 0- 60 mph ใน 3.8 วินาที
 
 
 



ลำดับที่ 6. Koenigsegg CCX 
 
$ 545, 568 (19,094,880 บาท) ไม่รวมภาษี

ผลิตในประเทศ สวีเดน เคยนำไปแข่งรถที่เร็วที่สุดในโลก แต่เข้าเป็นลำดับที่3
ด้วยความเร็วสูงสุด 250 ไมล์ต่อชั่วโมง (400 ก.ม.ต่อชั่วโมง)
 

 



ลำดับที่ 5. Saleen S7 Twin Turbo 
 
$ 555, 000 (19,425,000 บาท) ไม่รวมภาษี

รถสัญชาติอเมริกัน เครื่องเทอร์โบแฝดโคบาลที่ทดสอบควบมาแล้ว ได้ 248 ไมล์ต่อชั่วโมง (396.8 ก.ม.ต่อชั่วโมง)
สามารถเร่งความเร็วสูงสุด 0- 60 mph ใน 3.2 วินาที ถ้าคุณชอบรถอเมิกัน คันนี้รับรอง ไม่ทำให้คุณผิดหวัง
 
 
 



ลำดับที่ 4. LeBlanc Mirabeau 
 
$ 645, 084 (22,577,940 บาท) ไม่รวมภาษี

คันนี้คงอาจดูเหมือนรถแข่ง แต่คุณสามารถให้คันนี้บึ่งไปซื้อของหน้าปากซอยได้แน่นอน เพราะมีขายในท้องตลาดทั่วไปครับ
ด้วยความเร็ว 229 ไมล์ต่อชั่วโมง (366.4 ก.ม.ต่อชั่วโมง) และมันอาจทำให้เพื่อนบ้านคุณประหลาดใจ
 
 
 



ลำดับที่ 3. SSC Ultimate Aero 
 
$ 654, 400 (22,904,000 บาท) ไม่รวมภาษี

ถ้าราคาแพงกว่านี้ อย่าไปซื้อเด็ดขาดครับ เขาบอกราคาคุณผิดแน่ๆ
ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ แค่ 257 ไมล์ต่อชั่วโมง (411.2 ก.ม.ต่อชั่วโมง) และสามารถเร่งสูงสุด 0- 60 mph ใน 2.7 วินาที
 
 
 



ลำดับที่ 2. Pagani Zonda C12 F 
 
$ 667, 321 (23,356,235 บาท) ไม่รวมภาษี

ผลิตโดยบริษัทเล็กๆในอิตาลี และคันนี้เป็นรถที่เร็วที่สุดในโลก ลำดับที่แปด
แต่ทว่า ความหรูหราและระบบรับความสั่นสะเทือนชั้นเยียม
คุณแทบจะไม่รู้สึกเลย เมื่อวิ่งที่ความเร็ว 215 ไมล์ต่อชั่วโมง (344 ก.ม.ต่อชั่วโมง) และสามารถเร่งสูงสุด 0- 60 mph ใน 3.5 วินาที
 
 
 



ลำดับที่ 1. Bugatti Veyron 
 
$ 1, 192, 057 (41,721,995 บาท) ไม่รวมภาษี

นี่คือรถที่แพงที่สุดในโลก ที่มีจำหน่ายในโชว์รูม ประจำปี 2008
สามารถเร่งสูงสุด 0- 60 mph ในเวลาเพียง 2.5 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 253 ไมล์ต่อชั่วโมง (404 ก.ม.ต่อชั่วโมง)
เป็นรถที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกลำดับที่ 2
แต่ที่สำคัญ ก่อนที่คุณจะซื้อคันนี้ไปใช้ ควรศึกษาเส้นทางก่อนนะคร๊าบ
 
 
 

10 อันดับรถที่เร็วที่สุดในโลก

อันดับที่ 10 SC Ultimate Aero
เจ้าสถิติความเร็วตัวยง 412 กิโลเมตรที่ถูกบันทึกไว้ได้โดย กินเนสบุ๊คนั้น คงไม่ใช่รถที่ใครจะสัมผัสได้ง่ายๆ เพราะมันมีค่าตัวถึง 740,000 ดอลล่าร์ นี่ยังไม่นับค่าดูแลรักษาที่ต้องการเป็นพิเศษ และแม้มันจะเริ่มแก่ไปนิด แต่ความเก๋าของมันนั้น ยังมีอยู่กับสถิตเจ้าความเร็วที่เพิ่งโดน Bugati Veyron Super Sport ลบไปในปีนี้

อันดับที่ 9 Leblanc Mirabeau
ค่ายผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตามเข้ามาในอันดับนี้ กับรถที่เป็นสปอร์ตดิบๆ แต่ราคาแพงเหลือร้ายกว่า 765,000 ดอลล่าร์ Leblanc Mirabeau นั้นเป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์เปิดหน้าต่างไร้กระจก ให้ความดิบดุดัน ด้วยเครื่องวางกลางขับหลัง ตามสไตล์การแข่งขันรถ Le-mans ซึ่งรถรุ่นนี้พกแรงม้ามากว่า 700 ตัว ทางด้านหลังคุณ รับรองไม่มีวันไปทำงานสายๆแน่ๆ
อันดับที่ 8 Koenigsegg CCX
ขยับกันขึ้นมาอีกนิดสำหรับรถสปอร์ตมูลค่า หลัก กับ Koenigsegg CCX ที่มีมูลค่ากว่า 1.1 ล้าน ดอลล่าร์ ค่าตัวที่แพงแลกกับอัตตราเร่ง 0-100 กม/ชม ในเวลาเพียง 3.2 วินาที และ ใน 9.8 วินาที มันก็สามารถพาคุณถึงความเร็วที่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วสูงสุดของรถรุ่นนี้มีรายงานว่าสามารถทะลุเพดานได้กว่า 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ยังไม่มีการยืนยันเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นทางการ
อันดับที่ 7 Koenigsegg CCXR
ค่าตัว 1.3 ล้านดอลล่าร์ กับเวอร์ชั่นเพิ่มความแรงของ Koenigsegg CCX นั้นถือเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก สำหรับเศรษฐี โดยเฉพาะเมื่อเครื่องยนต์ V8 พร้อม Supercharger สามารถทำแรงม้าได้กว่า 806เมื่อคุณเลือกใช้ ออกเทน 98 แต่ที่น่าสนใจคือรถรุ่นนี้รองรับการใช้งานของ E85 และ E 100 ซึ่งเมื่อได้รับน้ำมันดังกล่าวนั้น มันจะมีพละกำลังกว่า 1,018 แรงม้า เลยทีเดียว
อันดับที่ 6 Maybach Landaulet
Maybach Landaulet ที่มาพร้อมค่าตัว 1.4 ล้านดอลล่าร์นั้น มันอาจจะไม่ใช่ รถสปอร์ตพันธุ์แรงมากมายเหมือนที่ผ่านมาแต่น่าสนใจด้วยความหรูหราและแน่นนอนขุมพลัง V12 พร้อมแรงม้า 612 แรงม้านั้น อาจมองไม่คุ้มค่ากับที่จะจ่าย แต่ถ้าคุณรู้ว่ารถรุ่นนี้หรูเพียงใด คงอาจจะไม่ปฏิเสธที่จะอยากได้มัน
อันดับที่ 5 Lamborghini Reventon
เจ้ากระทิงดุ ชื่อแปลกๆ ผลิตออกมาจำหน่ายเพียง 20 คัน พร้อมค่าตัวสุดแพงกว่า 1.42 ล้านดอลล่าร์นั้น เป็นอะไรที่หลายคนคงชอบ และแน่นอน ค่าตัวที่แสนแพงมาพร้อมความแรงจากเครื่องยนต์ V12 ที่ทะยานได้ว่องไว และคล่องตัวในทุกสมรรถนะการขับขี่กับ ระบบขับเคลื่อน ล้อ
อันดับที่ 4 Lamborghini Reventon Roadster
เจ้ากระทิงดุพันธ์แรงเวอร์ชั่นโรดสเตอร์นั้น ตามมาติดๆ และมันขึ้นนำในเรื่องความแพงกว่าเวอร์ชั่นธรรมดา สูงถึง 1.56 ล้านดอลล่าร์ และทุกอย่างมีความสวยงามมากกว่าเดิม จนน่าหามาใช้สักคัน
อันดับที่ 3 Roadster Pagani Zonda Cinque
อีกหนึ่งสปอร์ตพันธุ์แรงแดนมักกะโรนี ที่แพงและความแรงที่ไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว ค่าตัวกว่า 1.8 ล้านดอลล่าร์ของ Roadster Pagani Zonda Cinque ความแพงที่สุดแสนจะบรรยายนี้มาจากเครื่องยนต์ V12ที่บรรจุเอาไว้ในรถให้แรงม้าเพียง 678 แรงม้า แต่มีความแรงในระดับ 0- 100 กม/ชม ในเวลาเพียง 3. 4วินาที และความเร็วปลายให้คุณได้สะใจกว่า 349 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อันดับที่ 2 Bugatti Veyron Grand Sport
เจ้าVeyron ยังคงแพงเหมือนเคยและครองตำแหน่งในอันดับ ในปีนี้กับค่าตัวระดับ ล้านดอลล่าร์ที่ไม่ใช่จะเป็นเจ้าของกันง่ายๆเสียด้วย เรื่องสมรรถนะความแรงระดับเจ้าสถิติโลกความเร็วปัจจุบันนั้น คงไม่ต้องพูดถึง แต่ถ้าคุณซื้อเวย์รอนมาขี่ แน่นอนคุณต้องชอบความเร้วและทันสมัย บวกกับความหรูหราของมัน

อันดับที่ 1 Koenigsegg Trevita
แพงที่สุดและหาตัวจับยากที่สุดกับค่าตัว 2.21 ล้านดอลล่าร์ ถือว่าไม่ใช่อะไรที่แพงถ้าคุณกำลังมองหารถหายากที่สุดรุ่นหนึ่งบนถนนกับเจ้า Koenigsegg Trevita ที่เป็นรุ่นพิเศษกว่าเดิม 1,018 แรงม้า จากรุ่นปกติคงเป็นอะไรที่ไม่สามารถพบได้บ่อยนักจากเครื่องยนต์ V8 และแน่นอน มันพิเศษจริงๆ

Dodge Charger

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ dodge charger


    Dodge Charger ผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 1966 สิ้นสุดสายพานการผลิตในปี 1978 ตัวที่ได้รับความนิยมจะอยู่ในช่วงปี 1968-1970 ซึ่งมีลักษณะเป็น B-Body ซึ่งเอกลักษณ์ในแต่ละปีจะแตกต่างกันออกไป โดยปี 1968 มีเอกลักษณ์คือ มีไฟท้ายกลมสองดวง คล้าย กะเจ้า SKYLINE ของแดนปลาดิบ ถ้านึกไม่ออกให้ไปหาหนังเรื่อง Bullit ดู ในฉากหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นฉากไล่ล่า (Chase Scene) ที่ดี ที่สุดฉากหนึ่งเลย Mustang Fast Back GT390 (สีเขียวเข้ม ๆ) ไล่ล่ากับรถคันสีดำ นั่นแหละเจ้า Charger R/T ปี 1969 ที่ถือว่า มีหน้าตาหล่อที่สุดในบรรดา B- Body ของ Dodge มีการเปลี่ยนรูปแบบไฟท้ายเป็นแบบแถวยาว และเปลี่ยนกระจังหน้าให้ดูเท่ขึ้น และยังเป็นตัวเดียวกับที่นำมาใช้โดดเนิน พลิกคว่ำ ในหนังเรื่อง Duke Of Hazzard เป็น TV Series ในช่วงปี 1979-1983 ซึ่งส่ง ผลให้รถ Charger เป็นรถขวัญใจอันดับหนึ่งของคนอเมริกัน ถึงกับมีการจัด Duke of Hazzard Festival ขึ้นเป็นประจำทุกปี ถือ เป็นพิมพ์นิยมของบรรดานักสะสม และ Dodge Charger ถูกนำมาใช้เป็นตัวเอกในหนังอีกครั้ง ในเรื่อง Fast & Furious (ปี 2001) ในหนังเรื่องนี้ใช้ Dodge Charger ปี 1970 โดยใช้เป็นตัวเอกตอนปิดท้าย ทำให้คนดูติดตราตรึงใจกับรถอเมริกัน มัสเคิล พันธุ์แท้ ซึ่งรถในปี 1970 นี้ถือว่าเป็น Minor Change ตัวสุดท้ายของของเจ้า B-Body Version นี้ ก่อนที่จะออกเจ้าตัวใหม่ในปี 1971 ซึ่งไม่มีเค้าของเดิมเหลืออยู่เลยก็ว่าได้
      สำหรับโลโก R/T ที่คุ้นตานั้น ย่อมาจาก Road/Track มันบ่งบอกว่าเป็นตัวพิเศษ ซึ่งค่าย Mopar ตั้งใจนำภาพลักษณ์ของรถยนต์ High Performance Package ขึ้นมา รถที่จะติดโลโก R/T ได้ ต้องเป็นรถที่ถูกปรับแต่งแล้ว คล้าย ๆ กับรถซิ่งจากโรงงาน ซึ่ง ทาง Mopar เคลมว่า Dodge Charger R/T เป็นรถรุ่นใหญ่ของ Muscle ที่ดีที่สุดในยุค 70′s ซึ่งประจำการด้วยเครื่องยนต์ ตั้งแต่ 318 ลูกบาศก์นิ้ว (5,400 ซี.ซี.) เป็นเครื่องยนต์บล็อกเล็ก หรือ Small Block ไล่ขึ้นมา Big Block จะมี 2 ตัวคือ 383 ลูกบาศก์นิ้ว (6,500 ซี.ซี.) และ 440 ลูกบาศก์นิ้ว (7,500 ซี.ซี.) ซึ่งถือว่าเป็นบล็อกใหญ่ที่สุด แต่ก็มีอีกบล็อกที่ถูกผลิตขึ้นมาใช้กับรถ Chrysler เป็นเครื่องยนต์ที่มีชื่อเสียงที่สุด Hemi ขนาด 7,200 ซี.ซี. เป็นเครื่องยนต์ต้นแบบของรถ Top Fuel , Funny Car เครื่องยนต์ Hemi 426 เป็นเครื่องยนต์ขี้โกงสมัยนั้น เพราะมีระบบฝาสูบที่เหนือชั้นกว่าค่ายอื่น ๆ ไม่ว่าจะแข่งยังไงก็ชนะ เลยทำให้รถ ยนต์ค่าย Chrysler เป็นที่ปรารถนาของคนอเมริกัน และทำให้ราคาของเครื่องยนต์แท้ ๆ ดั้งเดิมโรงงาน มีมูลค่ามากกว่าล้านบาทต่อ เครื่อง

NISSAN SILVIA S15

    มีขนาดตัวถังคือ ความยาว×ความกว้าง×ความสูง    4445 × 1695 × 1285mm ซึ่งจะเล็กลงกว่าตัวS14





   ภายนอกไฟหน้าโปรเจคเตอร์โดยมีซีนอนให้เลือก หลังคาซันรูฟให้เลือกด้านท้ายมีปัดน้ำฝน
ภายใน
สปอร์ตๆ


มีเครื่องยนต์2แบบคือ
1 SR20DE
เบนซินหัวฉีด4สูบเรียงDOHC16valve 165ps (121kW) / 6400rpm
แรงบิดสูงสุด    19.6kg ·เมตร (192.2N ·เมตร) / 4800rpm ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา5สปีด
แต่ในรุ่นเกียร์ออโต้4สปีดจะเหลือ 160 psที่รอบเท่ากันและแรงบิดเป็น19.2kg ·เมตร (188.3N ·เมตร) / 4800rpm
2 SR20DET
เบนซินหัวฉีด4สูบเรียงDOHC 16 valve Turbo 250ps (184kW) / 6400rpm
แรงบิดสูงสุด    28.0kg ·เมตร (274.6N ·เมตร) / 4800rpm ในรุ่นเกียร์ธรรมดา6สปีด
และในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ4สปีดจะเหลือ225ps (165kW) / 6000rpm
แรงบิดสูงสุด    28.0kg ·เมตร (274.6N ·เมตร) / 4800rpm

โดยมีรุ่นย่อยหลักๆคือ2รุ่น

Spec-S
โดยรุ่นSpec S จะได้เครื่องตัวไม่มีเทอร์โบมีเกียร์ธรรมดา4สปีดและ5สปีดให้เลือกและมีรุ่นย่อยAeroต่อท้ายอีก โดยตัวที่เป็นAeroจะมีชุดพาร์ตรอบคัน

Spec-R
จะได้เครื่องเทอร์โบ เกียร์ธรรมดา6สปีด และอัคโนมัติ4สปีดให้เลือกและช่วงล่างเซตดีกว่า ดิสก์เบรคหน้าคาลิปเปอร์4สูบ ได้ระบบ HICAS (High Capacity Active Steering)คือเลี้ยวทั้ง4ล้อ และมีรุ่นย่อยAeroต่อท้ายอีกเหมือนกัน

ในเดือนตุลาคมปี1999 ได้เพิ่มคำว่าpackage B ในสเปคS PackageL Spec-R ไม่มีคำว่าAeroต่อท้าย ใส่ไฟตัดหมอกคู่หน้าให้มา ภายในเบาะและแผงประตูสีดำน้ำเงินให้เลือก

CHEVROLET CAMARO Z28

         




          เมื่ออเมริกันพันธุ์โหดอย่าง CHEVROLET CAMARO เบ่งกำลังและเสริมความหล่อเหลาออกมาจากโรงงานบรรดาคนรักสปอร์ตคูเป้จากทั่วโลกต่างต้องตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น ยิ่งโดยฝูงม้าที่ซ่อนอยู่ใต้ฝากระโปรงไม่ว่าใครได้สัมผัสจะต้องติดใจแถมยังได้ช่วงล่างระบบเบรค รวมถึงล้อและยางที่มาเต็มโดยไม่ต้องปรับเสริมเติมแต่ง บอกได้อย่างเดียวว่าสุดจริงๆ
           แค่ได้เห็นภายนอกของ CHEVROLET CAMARO Camaro Z/28 ก็รู้ถึงพลังที่ซ่อนอยู่ภายในได้เป็นอย่างดี จากการออกแบบอันดุดันนับแต่หัวจรดท้ายโดยด้านหน้านำเส้นสายเหลี่ยมสันมาขีดเขียนให้ลงตัว ไฟหน้าแบบมัลติรีเฟล็คเตอร์ย้อยตำแหน่งไฟเลี้ยวมาอยู่ด้านในใกล้กับกระจัง กระจังหน้าดำดุกึ่งกลางแปะโลโก้ประจำค่ายส่วนฝั่งซ้ายแปะเพลท Z/28 บ่งสถานะ กันชนหน้าดุดันตามแบบฉบับอเมริกันสไตล์ กึ่งกลางเจาะช่องดักอากาศขนาดใหญ่ก่อนจะแปะทับด้วยตะแกรงซี่ถี่ด้านข้างฝังไฟตัดหมอกทรงกลมภายในกรอบเหลี่ยมเสริมความสปอร์ต และเพื่อให้ด้านหน้ามีแรงกดมหาศาลจึงแต่งเติมลิ้นหน้าที่ไล่ยาวมาถึงซุ้มล้อซึ่งนอกจากจะมีประโยชน์แล้วยังช่วยให้รถหล่อขึ้นอีกเท่าตัว เท่านั้นยังไม่พอเพื่อความดุดันมากขึ้นบานฝากระโปรงจัดการเจาะช่องระบายความร้อนจึงดูโหดขึ้นอีกเท่าตัว
                มุมมองด้านข้างสวยตามสไตล์สปอร์ตคูเป้ ซุ้มล้อทั้งสี่อวบอั๋นพอประมาณ ด้านหน้าของซุ้มล้อหลังเจาะครีบดักอากาศช่วยระบายความร้อนสะสมของซุ้มล้อ กระจกมองข้างทรงลู่ลมลดเสียงลมปะทะได้เป็นอย่างดี ด้านท้ายของตัวรถสะดุดตากับสปอยเลอร์ขนาดกำลังดีแต่สร้างแรงกดมหาศาลขณะใช้ความเร็วสูง สำหรับไฟท้ายทรงเหลี่ยมสันไม่แพ้ด้านหน้ามาพร้อมไฟเบรคดวงที่สามแบบ LED กึ่งกลางฝากระโปรง และที่เด็ดสุดคือ Rear Dam ที่ออกแบบมาเป็นอย่างดีคอยจัดการลำเลียงอากาศใต้ท้องรถและเป็นที่อยู่ของท่อไอเสียข้างละคู่ที่คอยเปล่งเสียงคำรามนับแต่สตาร์ทเครื่องยนต์
                ภายในห้องโดยสาร CHEVROLET CAMARO Z/28 มาดสปอร์ตแบบเรียบง่ายและครบครันด้วยเทคโนโลยีอำนวยความสะดวก แผงหน้าปัดออกแบบสวยงามและแยกส่วนต่างๆ อย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็นมาตรวัดรอบการทำงานของเครื่องยนต์ มาตรวัดความเร็ว คั่นกลางด้วยหน้าจอมัลติดิสเพลย์ พวงมาลัยแบบมัลติฟังค์ชั่นมาในทรงสามก้านท้ายตัดเล็กน้อยตามสไตล์รถแรง คอนโซลกลางบนสุดเป็นช่องแอร์แถวยาวสองช่องล้อมกรอบด้วยแถบสีบรอนซ์สะดุดตา ชุดขับกล่อมชั้นดีและระบบปรับอากาศดิจิตอล ด้านเกียร์สั้นๆ และหัวเกียร์ทรงโค้งโอบรับกับฝ่ามือให้บรรยากาศการซิ่ง นอกจากนี้ด้านบนคอนโซลจะมีสวิทช์ปิดการทำงานของระบบช่วยเหลือในการขับขี่มาให้ผู้ขับสนุกมากขึ้น
                เบาะนั่งเป็นแบบ Bucket Seat เพื่อความโอบกระชับทุกความเร็วฝีมือ RECARO เป็นผู้จัดให้จึงการันตีด้านความสวยงามและประสิทธิภาพในการใช้งาน ส่วนที่เหลือตกแต่งเก็บรายละเอียดด้วยแถบสีบรอนซ์ หนัง พร้อมแปะโลโก้ Z/28 ให้เห็นถึงความต่าง

                CHEVROLET CAMARO Z/28 ขุมพลังเน้นใหญ่ตามสไตล์อเมริกันในแบบ V8 สูบ ขนาด 7.0 ลิตร ซึ่ง เพาะฝูงม้าออกมาอาละวาดได้ทั้งหมด 505 ตัว พร้อมด้วยแรงบิดมหาศาลขนาด 481 ปอนด์-ฟุต (652 นิวตัน-เมตร) เรดไลน์อยู่ที่ 7,000 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์ธรรมดา TR 6060 แบบ 6 สปีด ระบบเบรคแบบดิสค์เบรคสี่ล้อจานเบรคคาร์บอนเซรามิคด้านหน้าขนาด 394 x 36 มม. ประกบกับคาลิเปอร์แบบ 6 Pot ด้านหลังขนาด 390 x 32 มม. ประกับคาลิเปอร์แบบ 4 Pot โดยทั้งหมดเป็นผลงานจากแบรนด์ดังอย่าง BREMBO เสร็จแล้วกลิ้งวงล้อลายโหดขนาด 19 นิ้ว มารัดด้วยยาง PIRELLI P Zero ขนาด 305/30 ZR 19 เท่านี้ก็ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมแล้ว